โรงไฟฟ้าพลังงานลม
ลมคือพลังงานรูปหนึ่งซึ่งสามารถทำงานได้
และสามารถเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานรูปอื่นได้ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานไฟฟ้า
พลังงานกลหรือพลังงานความร้อน เป็นต้น ลมเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ
ความกดดันบรรยากาศและแรงหมุนของโลก การเคลื่อนที่ของอากาศซึ่งมีสาเหตุมาจากบนผิวโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากันทุกบริเวณ บริเวณที่ได้รับความร้อนมากอากาศบริเวณนั้นจะขยายตัวทำให้มีความหนาแน่นต่ำ
และลอยตัวสูงขึ้น อากาศบริเวณข้างเคียงที่เย็นและมีความหนาแน่นมากกว่า
จะเคลื่อนเข้าไปแทนที่ทำให้เกิดกระแสลมขึ้น
ขณะที่กระแสลมเคลื่อนที่จะมีพลังงานจลน์เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อกระแสลมพัดผ่านใบพัด
จะถ่ายทอดพลังงานจลน์จากกระแสลมไปยังใบพัด ทำให้ใบพัดหมุนได้พลังงานกลออก
พลังงานกลที่ได้ออกมานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ เช่น ผลิตกระแสไฟฟ้า
สูบน้ำเพื่อการเกษตร เป็นต้น พลังงานลมได้ถูกนำมาใช้ในการสีข้าว
สูบน้ำและเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานกลรูปอื่น ๆ เป็นระยะหลายพันปีมาแล้ว
ปัจจุบันมีกังหันลมที่ติดตั้งทั่วโลกมากกว่าหนึ่งล้านตัว
ส่วนใหญ่นอกจากจะนำไปใช้เพื่อการสูบน้ำแล้ว ยังนำไปใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
การนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า
นับเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนการใช้พลังงานจากเชื่อเพลิงบรรพชีวิน
(fossil
fuel)
ดังนั้นพลังงานลมจึงเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่น่าสนใจมากแหล่งหนึ่ง
1. วิวัฒนาการการใช้พลังงานลม
มนุษย์รู้จักใช้พลังงานจากลมมานานนับพพันปีแล้ว
ลมได้ถูกนำไปใช้ในการแล่นเรือและเป็นกังหันลมถ่ายทอดพลังงานตั้งแต่สมัยโบราณ
โดยเริ่มนำกังหันลมมาใช้ในการชลประทานตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
การใชกังหันลมในยุคเริ่มแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อลดงานจากแรงคนและสัตว์
อุปกรณ์ที่ใช้ทำใบกังหันก็จัดหาจากในท้องถิ่นโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพในการทำงาน
จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 19 ได้มีการพัฒนากังหันลมใช้ในการสูบน้ำ
โดยสร้างให้มีใบพัดหลายใบและได้มีการพัฒนาต่อมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2433
ได้มีการสร้างกังหันลมสำหรับผลิตไฟฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรก ที่ประเทศเดนมาร์ก
การนำพลังงานลมมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้ามีวิวัฒนาการมานานกว่าเจ็ดสิบปี และในปี
พ.ศ. 2484 ได้มีการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 1,250
กิโลวัตต์ที่รัฐเวอร์มองในประเทศสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีพลังงานลมได้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอด
ในปี พ.ศ.2513 มีการผลิตกังหันลมขนาดเล็กเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ โดยมีการพัฒนามากขึ้นถึงในระดับอุตสาหกรรม
ต่อมาได้มีการพัฒนานำพลังงานลมไปผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในอุตสาหกรรม
และแพร่หลายมากขึ้นในการผลิตกระแสไฟฟ้าในประเทศที่มีศักยภาพพลังงานสูง
2. ทฤษฎีเกี่ยวกับพลังงานลม
พลังงานลมเป็นพลังงานจลน์
(Kinetic Energy) ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนที่ของมวลอากาศที่ตกกระทบตั้งฉากบนหนึ่งหน่วยพื้นที่กับทิศทางการไหลของอากาศต่อหนึ่งหน่วยเวลา
เมื่อพิจารณาในรูปของสมการโดยพิจารณาว่า มวล (m) มีหน่วยเป็น
kg ถูกทำให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว V m/s จะก่อให้เกิดพลังงานจลน์ (E) ดังสมการที่ 1
E = 1/2(mV2) Joule.............(1)
เนื่องจากการเคลื่อนที่ของอากาศมีหน่วยเป็นมวลต่อหน่วยเวลา ถ้าเราแทนค่า m ลงในสมการที่ 1 จะทำให้ลมในรูปของพลังงานจลน์ เปลี่ยนเป็นพลังงานลม P ดังสมการที่ 2
P = 1/2(mV2) watt.............(2)
ถ้าลมเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด A
ดังรูปที่ 4 เราสามารถเขียนอัตราการไหลของอากาศเชิงมวลต่อเวลา
(m) ดังสมการที่ 3
m = ρVA kg/sec..........(3)
เมื่อ ρ = ความหนาแน่นของอากาศ kg/m3
Pw = 1/2(ρAV3) watt............(4)
Pw/A= 1/2(ρV3) watt/m3.....(5)
เมื่อ ρ = ความหนาแน่นของอากาศ kg/m3
รูปที่
1
แสดงความเร็วลม V เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด A
แทนค่าสมการที่
3
ลงในสมการที่ 2 จะได้กำลังลม PW ซึ่งเป็นพลังงานจลน์ เมื่อกระแสลมมีความหนาแน่นและมีความเร็วลม V พัดผ่านพื้นที่หน้าตัด A ต่อหน่วยเวลา
ดังแสดงในสมการที่ 4
Pw = 1/2(ρAV3)
หรือเขียนให้อยู่ในรูปอัตราส่วนกำลังลมต่อพื้นที่หน้าตัด จะได้สมการที่ 5
กังหันลมจะสามารถนำกำลังงานลม ที่มีอยู่ในกระแสลมมาใช้ประโยชน์ได้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากเกิดการสูญเสียพลังงานเนื่องจากสาเหตุต่างๆ ในระบบขึ้น ถ้ากำหนดให้ Cp เป็นค่าสัมประสิทธิ์กำลังงาน (Power Coefficient) ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงสัดส่วนของกำลังงานที่กังหันลมจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นกำลังงานที่จะได้จากกังหันลมคือ
P = 1/2(CpρAV3) .............(6)
3. ทฤษฎีโมเมนตั้มการไหลของอากาศในแนวแกน
Rankine (1865) ได้อธิบายทฤษฎีโมเมนตั้มการไหลของอากาศใน Axial Fan ว่า
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแรงที่กระทำบนใบพัด และความเร็วในการไหลของอากาศ ซึ่งต่อมา
Froude ได้ปรับปรุงทฤษฎีดังกล่าวให้มีความเหมาะสม
จึงทำให้สามารถทำนายประสิทธิภาพของใบพัดได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
รูปที่ 2 แสดงรูปแบบการไหลของอากาศใน
ทฤษฎีโมเมนตั้มการไหลของอากาศในแนวแกน
จะต้องอยู่ภายใต้สมมุติฐานดังต่อไปนี้
- เป็นของไหลที่ไม่สามารถกดอัดได้
- ไม่เกิดความต้านทานต่อการหมุนของใบพัด
- ใบพัดพิจารณาให้เป็น Infinite Member
- การไหลของอากาศมีความเป็นเนื้อเดียวกันตลอด
- แรงที่กระทำตลอดแนวพื้นที่ใบพัดมีการกระจายแรงแบบ Uniform
- ไม่มีความดันย้อนกลับในขณะที่ใบพัดหมุน
- ความดันสถิตบริเวณด้านหน้าและด้านหลังใบพัด
ไม่มีผลกระทบต่อการไหลของอากาศ
เมื่อพิจารณารูปที่ 5 จากกฎการอนุรักษ์มวล จะได้ว่า
ρA1Z1 = ρA Vzx = ρA2V2 ............(7)
แรงที่กระทำ (T) ต่อใบพัดเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมการไหลของอากาศด้านข้างและด้านออก ดังสมการที่ 8
T = ρA1V21 = ρA1V22 ...............(8)
จากสมการที่ 7 จะได้ว่า
T = ρA VzxV1
- ρA VzxV2
T = ρA Vzx(V1
– V2) ............(9)
เราอาจแสดงแรงที่กระทำต่อใบพัดในรูปของผลต่างความดันได้ดังสมการที่ 10
T = (P+ - P-)A .............(10)
จากสมการ Bernoulli แรงดันที่กระทำต่อใบพัดเราสามารถหาได้จากสมการต่าง ๆ คือ
ก่อนถึงใบพัด : P+1/2(ρV21)
= P++1/2(ρV2zx) ...(11)
ออกจากใบพัด : P-+1/2(ρV2ZX)
= P+1/2(ρV22) ...(12)
นั่นคือ : P+-P- = 1/2[ρ(V21- V22)] ...(13)
จะได้แรงที่กระทำ (T) ต่อใบพัดดังสมการที่ 14
T = 1/2[ρA(V21- V22)] ...(14)
แทนค่าสมการที่ 14 ในสมการที่ 9 จะได้
Vzx = 1/2(V1-V2) ...(15)
Betz ได้เสนอแนวทางการหาค่าสูงสุด ของการเก็บกำลังงานจากกระแสลมให้ได้ค่าสูงสุด โดยพิจารณาได้จากความสัมพันธ์ของความเร็วลม V1 และ V2
กำหนดให้ a = อัตราส่วนระหว่างความเร็วลมที่ลดลง (v) กับความเร็วลมก่อนเข้าสู่ใบพัด (V1)
นั่นคือ a = v/V1
ดังนั้น Vzx = V1 – v = V1(aV1)
Vzx = V1(1-a) ...(16)
แทนค่าสมการที่ 15 ในสมการที่ 16 เพื่อหาค่าความเร็วลมด้านออกจากใบพัด จะได้
V2 = V1(1-2a) ...(17)
ดังนั้นกำลังงานที่เกิดจากการหมุนของใบพัดจะเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานจลน์ของมวลอากาศที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ใบพัดของกังหันลม ดังสมการที่ 18
P = 1/2[ρAVzx(V21- V22)] ...(18)
P = 4a(1 - a)2 1/2ρAV21 ...(19)
ค่า P จะมีค่าสูงสุดก็ต่อเมื่อ dP/da = 0 และจุดนี้ผมว่าค่า a = 1/3
นั่นคือกำลังงานสูงสุดที่ใบพัดของกังหันลมจะเก็บได้คือ
P = (16/27)(1/2)ρAV31 ...(20)
และตัวเลข 16/27 ก็คือค่าสัมประสิทธิ์กำลังงานสูงสุด (cpmax) หรือเรียกว่า Betz Coefficient
กำลังสูงสุดที่ได้จากกังหันลมมีค่า
0.593 เท่าของค่ากำลังตามทฤษฎี ค่า เรียกว่า
ค่าสัมประสิทธิ์กำลัง (power coefficient) มีค่าสูงสุด 0.593
หรืออาจเรียกว่าสัมประสิทธิ์ของเบทซ์ (Betz coefficient) เป็นค่าสัดส่วนกำลังที่ดึงออกมาได้สูงสุดของกังหันลม เป็นค่าทางทฤษฎีสำหรับกังหันลมที่มีใบพัดเป็นจำนวนอนันต์มีค่าความเสียดทานเป็นศูนย์
และหมุนด้วยความเร็วสูง
สำหรับกังหันลมแต่ละแบบมีค่าสัมประสิทธิ์กำลังเปลี่ยนแปลงตามอัตราส่วนความเร็วที่ปลายใบพัดต่อความเร็วลมดังภาพ
รูปที่ 3 ประสิทธิภาพของกังหันลมแบบ
4. อากาศพลศาสตร์ของกังหันลม
กังหันลมหมุนได้เนื่องจากขณะที่กระแสลมเคลื่อนที่จะมีพลังงานจลน์เกิดขึ้นเมื่อกระแสลมพัดผ่านใบพัดผ่านใบพัดจะผลักดันทำให้ใบพัดหมุนรอบแกน
แรงที่กระทำต่อใบพัดประกอบด้วย 2 แรงกระทำในทิศทางที่ตั้งฉากกันซึ่งเรียกว่า
แรงฉุด (drag force) และ แรงยก (lift force) ดังแสดงในภาพ 4.1
ขนาดของแรงผลักและแรงยกจะขึ้นกับรูปร่างของวัตถุ มุมของวัตถุต่อทิศทางของกระแสลม
และความเร็วของลม
แรงฉุด
คือแรงที่กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในรูปของไหล
ทิศทางของแรงอยู่ในแนวเดียวกันกับทิศทางของการเคลื่อนที่
ถ้าวัตถุวางตัวอยู่ในแนวที่พื้นที่ด้านข้างตั้งฉากกับกระแสลมแรงฉุดที่กระทำต่อวัตถุจะมีค่ามากที่สุด
แต่ถ้าพื้นที่ด้านข้างอยู่ในแนวเดียวกับทิศทางของกระแสลมแรงฉุดจะมีค่าต่ำสุด
กังหันลมแกนตั้งถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงฉุด
แรงยก คือแรงที่กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในรูปของไหล
ทิศทางของแรงอยู่ในแนวตั้งฉากกับทิศทางของการเคลื่อนที่
ถ้าวัตถุวางตัวอยู่ในแนวที่พื้นที่ด้านข้างขนานกับทิศทางของกระแสลมแรงยกที่กระทำต่อวัตถุจะมีค่ามากที่สุด
แต่ถ้าพื้นที่ด้านข้างวางตัวในแนวตั้งฉากกับทิศทางของกระแสลมแรงยกจะมีค่าต่ำสุด
กังหันลมแกนนอนถูกออกแบบมาเพื่อรับแรงยก
รูปที่ 4 แรงฉุดและแรงยกที่กระทำต่อ
5.
ชนิดของกังหันลม
กังหันลมแบบต่าง
ๆ ที่ใช้อยู่ตั้งแต่สมัยโบราณมีรูปแบบต่าง ๆ มากมาย การจำแนกชนิดของกังหันลมตามลักษณะการวางตัวของแกนหมุนแบ่งได้
2 ประเภทใหญ่ๆ คือกังหันลมแกนนอนและกังหันลมแกนตั้ง
5.1
กังหันลมแกนนอน
กังหันลมแกนนอน
(horizontal axis wind turbines; HAWTs) คือกังหันลมที่มีแกนหมุนอยู่ในแนวขนานกับทิศทางลม
แรงที่กระทำบนใบพัดเกิดจากแรงยก กังหันลมแกนนอนจะมีจำนวนใบพัดตั้งแต่ 1 ใบถึง 50
ใบ มี่ทั้งแบบที่ใบกังหันวางอยู่เหนือลม (up
draft) และใต้ลม (down draft) บางชนิดมีหางเสือเพื่อควบคุมทิศทาง
และความเร็วรอบของกังหันลมให้หมุนด้วยความเร็วคงที่ กังหันลมแกนนอนมีการออกแบบรูปร่างและใบกังหันแตกต่างกันออกไปเพื่อให้กังหันลมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
และเหมาะสมกับในแต่ละพื้นที่ กังหหันลมแกนนอนสามารถจำแนกตามลักษณะของใบพัดและมีชื่อเรียกต่างกันดังนี้
1)
กังหันลมแบบพรอบเพลเลอร์ (propeller)
เป็นกังหันลมทีมีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปแพนอากาศ (airfoil)
มีใบพัดตั้งแต่ 1 ถึง 4 ใบ แบบที่มีใบพัด 1 หรือ 2
ใบจะมีความเร็วรอบสูงมากเป็นกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า
2)
กังหันลมแบบใบพัดเป็นแผ่น
กังหันลมแบบนี้มีทั้งชนิดที่เป็นแผ่นราบและแผ่นโค้ง
กังหันลมแบบนี้มีจำนวนใบพัดหลายใบอาจมีตั้งแต่ 4 ถึง 50 ใบ มีความเร็วรอบต่ำ
มีความเร็วรอบต่ำเหมาะสำหรับการใช้งานการใช้งานที่ต้องการแรงขับสูง
นิยมใช้เป็นกังหันลมสูบน้ำ
3)
กังหันลมแบบเซลวิง (sail wing)
กังหันลมแบบนี้ได้พัฒนาและออกแบบพิเศษให้มีน้ำหนักเบา
4)
กังหันลมแบบกงล้อจักรยาน
กังหันลมแบบนี้ได้พัฒนาขึ้นมาจากหลักการของล้อจักรยานคือขอบใบพัดและดุมล้อขึงไว้ด้วยลวด
ใบพัดเป็นรูปแพนอากาศ ทำด้วยแผ่นอลูมิเนียมหุ้มรอบเส้นลวดที่คู่กันมีน้ำหนักเบา
ใบพัดมีหลายใบ มีความเร็วรอบต่ำ
5)
กังหันลมชนิดใบพัดเป็นรูปลำแพน เป็นกังหันลมที่ออกแบบง่ายราคาถูก
ใบพัดทำด้วยเสื่อหรือผ้าส่วนมากมีใบพัด 6 ใบ มีความเร็วรอบต่ำ
รูปที่ 5 ลักษณะของกังหันลมแกนนอนแบบ
รูปที่ 6 กังหันลมแกน
5.2
กังหันลมแกนตั้ง
กังหันลมแกนตั้ง
(vertical axis wind turbines; VAWTs) คือกังหันลมที่มีแกนหมุนอยู่ในแนวตั้งฉากกับทิศทางลม
กังหันลมแบบนี้สามารถรับลมได้ทุกทิศทางโดยไม่ต้องปรับมุมของแกนหมุนเมื่อทิศทางของลมเปลี่ยน
กังหันลมแกนตั้งนี้ได้พัฒนาโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ชื่อจอร์ส แดร์เรียส (George Darrieus) ในปี ค.ศ. 1925 กังหันลมแบบนี้มีความสะดวกในการติดตั้งมากกว่ากังหันลมแบบแกนนอน
เพราะอุปกรณ์ร่วมต่าง ๆ ที่ติดตั้งเช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ปั๊มน้ำวางอยู่บนพื้น
กังหันลมแกนตั้งแบบต่าง ๆ กังหันลมแบบแกนตั้งสามารถแบ่งได้ 2 แบบคือ
1) กังหันลมที่ขับด้วยแรงฉุด
กังหันลมแบบนี้จะให้แรงบิดสูงและมีความเร็วรอบต่ำ เช่น แบบซาโวเนียสและแบบรูปถ้วย
ที่รู้จักกันมากคือแบบซาโวเนียส
2) กังหันลมที่ขับด้วยแรงยก
กังหันลมแบบนี้มีความเร็วรอบสูง เช่น แบบแดร์เรียส และแบบไจโร ที่รู้จักกันมากคือแบบแดร์เรียส
รูปที่ 7 ลักษณะของกังหันลมแกนตั้งแบบ
รูปที่ 8 กังหันลมแกน
6. ส่วนประกอบของระบบกังหัน
กังหันลมมีส่วนประกอบที่สำคัญ
4 ส่วนได้แก่ ใบกังหัน ระบบควบคุม ระบบส่งกำลัง และหอคอย
1) ใบกังหันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของกังหันลมเพราะเป็นส่วนที่ปะทะกับลมโดยตรงทำให้เกิดพลังงานกล
กังหันลมอาจมีจำนวนใบกังหันตั้งแต่หนึ่งใบถึงหลายสิบใบก็ได้
กังหันลมที่มีจำนวนใบมากต้องการแรงบิดสูง กังหันลมประเภทนี้เหมาะกับการสูบน้ำ
กังหันลมที่มีจำนวนใบน้อยเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความเร็วรอบสูง
กังหันลมประเภทนี้จึงเหมาะกับการผลิตกระแสไฟฟ้า วัสดุที่นำมาใช้ทำใบกังหันอาจเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรง
2) ระบบควบคุมในชุดของกังหันลมมี 2 ประเภทคือ
ระบบควบคุมที่มีหน้าที่ควบคุมให้กังหันหันหน้าเข้าหาทิศทางลม
โดยส่วนใหญ่ใช้เป็นหางเสือ
และระบบควบคุมที่มีหน้าที่ควบคุมให้กังหันทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุดที่กังหันจะรับได้
โดยทำให้เกิดการหน่วงต่อการหมุนของกังหันลมไม่ให้กังหันมีความเร็วเกินค่าความเร็วสูง
3) ระบบส่งกำลัง
ประกอบไปด้วยเฟืองหรือระบบไฮดรอลิก การส่งกำลังจากใบกังหันต้องผ่านระบบส่งกำลัง
ซึ่งจะมีการทดสอบให้สอดคล้องกันระหว่างความเร็วรอบของแกนกังหันกับการใช้งาน
4) หอคอยทำหน้าที่ยึดกังหันลมให้อยู่ในระดับสูง
เพื่อรับกระแสลมได้แรงและทุกทิศทาง
หอคอยต้องเป็นโครงสร้างที่แข็งแรงสามารถรับน้ำหนักและการสั่นสะเทือนจากตัวกังหันได้
รูปที่ 9 ส่วนประกอบของระบบกังหัน
7. การเลือกสถานที่ตั้งกังหันลม
ในการเลือกสถานที่ตั้งกังหันลม
จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1) ความเร็วลม สถานที่ติดตั้งกังหันลมจะต้องอยู่ในบริเวณที่มีความเร็วลมพอเพียงที่จะทำให้กังหันลมทำงานได้ตลอดปี
หรือมีช่วงลมแรงในฤดูกาลที่ต้องการใชงาน
2) แหล่งน้ำ
ในกรณีที่ต้องการใช้กังหันลมเพื่อการสูบน้ำ ในบริเวณที่มีลมจะต้องมีแหล่งน้ำด้วย
3) สิ่งแวดล้อม สถานที่ตั้งกังหันลมจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางทิศททางลมเพราะจะทำให้ความเร็วลมต่ำ
ซึ่งมีผลต่อกำลังลมที่กระทบใบพัด
และสถานที่ตั้งกังหันลมควรจะอยู่ห่างจากแหล่งชุมชนเพราะจะทำให้เกิดเสียงรบกวน
ไมเออร์และเมอร์สัน
(Meier, and Merson, 1980: 21) ได้จำแนกระดับความเร็วลมเฉลี่ยที่ความสูง 10
เมตรจากพื้นดินที่เหมาะสมสำหรับการใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าออกเป็น 3
ระดับคือระดับต่ำความเร็ว 4-5 เมตรต่อวินาที ระดับปานกลาง 5-7 เมตรต่อวินาที
ระดับสูงตั้งแต่ 7 เมตรต่อวินาทีขึ้นไป สำหรับกังหันลมสูบน้ำสามารถใช้งานได้กับความเร็วเฉลี่ยต่ำสุดประมาณ
3 เมตรต่อวินาที
เนื่องจากกำลังของลมมีค่าขึ้นอยู่กับความเร็วลมยกกำลังสาม
ถ้าความเร็วลมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้กำลังของลมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 33
ดังนั้นการเลือกสถานที่ตั้งกังหันลมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเร็วลมสูง
ค่าความเร็วลมเหนือพื้นดินในแต่ละบริเวณจะมีค่าไม่เท่ากันที่ระดับสูงขึ้นไปความเร็วมีค่าเพิ่มขึ้น
การคำนวณหาค่าความเร็วลมที่ระดับความสูงต่าง ๆ คำนวณได้จากสูตร ดังนี้
เมื่อ V(Z) คือ ความเร็ว ณ ตำแหน่งที่ต้องการหา
V(Zr) คือ ความเร็ว ณ
ตำแหน่งอ้างอิง
Z คือ
ระดับความสูง ณ ตำแหน่งที่ต้องการหาความเร็ว
Z0 คือ
ระดับความสูงที่ความเร็วลมเป็นศูนย์ (roughness height)
Zr คือ
ระดับความสูง ณ ตำแหน่งอ้างอิง โดยปกติใช้ที่ระดดับความสูง 10 เมตร
8. การใช้งานกังหันลมผลิตไฟฟ้า
เนื่องจากกระแสลมมีความเร็วเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในการนำพลังงานลมมาผลิตไฟฟ้าให้กำลังไฟฟ้าที่ไม่สม่ำเสมอทำให้ไม่สามารถยึดเป็นพลังงานหลักได้
จำเป็นต้องมีตัวเก็บพลังงานและใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานอื่นเป็นแหล่งพลังงานสำรอง
หรือใช้ร่วมกับแหล่งพลังงานอื่น วิธีการประยุกต์นำพลังงานลมไปใช้ในวิธีต่าง ๆ
ดังนี้
1) ใช้ตัวเก็บพลังงาน
การใช้พลังงานลมวิธีนี้จะเก็บสะสมพลังงานลมในรูปพลังงานอื่น ๆ เช่น ในกรณีของกังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กนิยมใช้แบตเตอรี่เป็นตัวเก็บ
หรืออาจใช้วิธีการสูบน้ำไปกักเก็บไว้ในรูปของพลังงานศักย์
2) ใช้แหล่งพลังงานสำรอง
วิธีนี้จะใช้กังหันลมจ่ายพลังงานในขณะที่มีความเร็วเพียงพอ
ในช่วงที่ความเร็วต่ำใช้พลังงานจากแหล่งอื่นแทน เช่น พลังงานน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ
3) ใช้ระบบผสมผสาน
วิธีนี้เป็นการใช้พลังงานร่วมกับแหล่งพลังงานอื่น
โดยมีพลังงานจากแหล่งอื่นเป็นหลัก ขณะมีความเร็วลมเพียงพอกังหันลมผลิตไฟฟ้า
รูปที่ 10 ตัวอย่างระบบการทำงานโรงไฟฟ้า
9. ศักยภาพและการพัฒนาพลังงานลม
การศึกษาศักยภาพของพลังงานลมโดยคำนวณจากแหล่งพลังงานลมทั่วโลก
ที่มีค่าความเร็วลมเฉลี่ยเหมาะสมที่จะพัฒนาผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมสรุปได้ว่า
พลังงานที่ผลิตได้จากกังหันลมมีค่าประมาณ 20,000 เทอราวัตต์-ชั่วโมงต่อปี
จะเห็นว่าพลังงานลมมีศักยภาพสูงมาก เพื่อที่จะให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
ถ้าเปรียบเทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่บริโภคทั่วโลกในปี ค.ศ.
1987 มีค่าประมาณ
9000 เทอราวัตต์-ชั่วโมง
จะเห็นได้ว่ามีค่าน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของศักยภาพของพลังงานลม
แต่การผลิตพลังงานจากลมมีข้อจำกัดในเรื่องของโครงสร้างและข้อจำกัดอื่น ๆ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
ประมาณว่าในปี ค.ศ. 2020 กังหันลมที่ติดตั้งทั่วโลกมีกำลังผลิตรวมกันประมาณ 450,000 เมกะวัตต์ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 900
เทอราวัตต์-ชั่วโมงต่อปี และจากการประเมินโดยสภาพลังงานโลก(World
Energy Council) ประมาณว่าพนักงานที่ผลิตได้จากพลังงานลมมีค่าประมาณร้อยละ
10 ของพลังงานไฟฟ้าที่บริโภคทั่วโลกในปี ค.ศ. 1991 ถ้าประมาณเทียบกับพลังงานไฟฟ้าที่บริโภคทั่วโลกในปี
ค.ศ.2020 จะมีค่าร้อยละ
3 จากตัวเลขที่แสดงปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้
จากพลังานลมนี้จะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 800 ล้านตันเมื่อเทียบกับการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหิน (Wijk, Coelingh, and Turkenburg, 1991: 307-308)
พลังงานลมในประเทศต่าง ๆทั่วโลกมีการพัฒนาและใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในปีค.ศ. 1994 ประมาณว่ามีกังหันลมผลิตไฟฟ้าติดตั้งทั่วโลกมีกำลังผลิตมากกว่า
3.5 จิกะวัตต์ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก
และมีการกระจายในประเทศอื่น ๆ เช่นอังกฤษ เยอรมัน สเปน อินเดีย (Boyle,
1996:311) ปัจจุบันการพัฒนาพลังงานลมในประเทศต่าง ๆ
เป็นทางเลือกทางหนึ่งที่จะนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานจากเชื้อเพลิงบรรพชีวิน
เช่น การพัฒนาผลิตไฟฟ้าพลังงานลมที่ฝรั่งเศส ในปีค.ศ. 1997 ถือเป็นปีแห่งพลังงานลมสำหรับเมืองดังเคอ-เกอะ (Dunkerque) ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 ได้เปิดโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 2.7
เมกะวัตต์ และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานลมที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างขนาด
1.5 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายในปี ค.ศ. 2005 จะสามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมให้ได้ 250 - 500 เมกะวัตต์
โดยจัดทำเป็นแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานสิ่งแวดล้อม
การควบคุมพลังงานและองค์การไฟฟ้าแห่งประเทศฝรั่งเศส (ดุฟอิค,2541 : 14 -16)
10. ศักยภาพและการพัฒนาพลังงานลมในประเทศไทย
จากข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ค่าเฉลี่ยความเร็วลมของพื้นที่ต่าง
ๆ ทั่วประเทศค่อนข้างจะต่ำ
จากข้อมูลพลังงานลมของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ได้เก็บรวบรวมมาเป็นเวลา 17
ปีและได้คำนวณค่าความเร็วลมเฉลี่ยโดยรวมช่วงลมสงบ (include
calm) มีค่าความเร็วลม 2.4 - 4 เมตรต่อวินาที
หากทำการคำนวณโดยไม่รวมช่วงลมสงบ (exclude calm) พบว่ามีค่าความเร็วลม
3 - 6 เมตรต่อวินาที (Meteorolgical Department and
king Mongkut’s institue of tecnology thonburi, 1984: 21 - 25) จะเห็นได้ว่าศักยภาพในการผลิตพลังงานจากลมของประเทศค่อนข้างต่ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้ายกเว้นพื้นที่บริเวณชายฝั่งตอนใต้และบริเวณอ่าวไทยจะมีความเร็วลมสูงเพียงพอที่จะผลิตพลังงานจากลมได้
บริเวณที่มีความเร็วลมเฉลี่ยสูงประมาณ 4 - 5 เมตรต่อวินาที
มีอยู่ 5 แห่งในประเทศไทยได้แก่ที่ สัตหีบ เกาะสีชัง
เกาะสมุย เกาะภูเก็ต และจังหวัดสงขลา (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย,
2540: 2)
ศักยภาพพลังงานลมในประเทศไทยได้ประเมินโดยวิเคราะห์จากข้อมูลความเร็วซึ่งตรวจวัดโดยกรมอุตุนิยมวิทยาทุก
3 ชั่วโมง เป็นเวลา 17 ปี (พ.ศ. 2509 - 2525) จำนวน 62 สถานี
โดยข้อมูลความเร็วลมได้ถูกปรับให้เป็นค่าความเร็วลมที่ระดับความสูง 10 เมตร จากระดับพื้นดิน
กำลังของกังหันลมทางทฤษฎีของแต่ละสถานีได้คำนวณโดยคำนึงถึงการจัดวางตำแหน่งเพื่อไม่ให้บังกัน
ศักยภาพของกำลังลมทั่วประเทศมีค่า 5,000
เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นพลังงาน 4.4 เทอราวัตต์ – ชั่วโมง (Meteorolgical
Department and king Mongkut’s institue of tecnology thonburi, 1984: 20) เนื่องจากในการนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์จำเป็นต้องมีข้อมูลพลังงานลมและวิเคราะห์ทำเป็นแผนที่พลังงานลม
สำหรับประเทศไทย
โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและกรมอุตุนิยมวิทยาได้เคยดำเนินการจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานลม
โดยอาศัยฐานข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยานำมาหาค่าความเร็วลมเฉลี่ยและศักยภาพพลังงานลดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นข้อมูลที่ได้จัดทำตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2527 ดังรายละเอียดที่สรุปในตารางที่ 1
ดังนั้นในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
8 (พ.ศ. 2540 - 2544) จึงได้จัดให้มีโครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพพลังงานลมสำหรับการพัฒนานำไปใช้ต่อไป
11.
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานลม
การนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์นอกจากจะมีข้อดีในแง่ต่าง ๆ เนื่องจากพลังงานลมไม่มีปัญหาในเรื่องการปล่อยก๊าซพิษ ฝนกรด
หรือมลพิษจากการแผ่รังสีแล้ว
ยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงบรรพชีวินรวมทั้งการนำพลังงานลมมาใช้ไม่จำเป็นต้องมีแหล่งน้ำเหมือนกับการใช้พลังงานจากแหล่งอื่น
ๆ ซึ่งรวมถึงพลังงานหมุนเวียนบางอย่างด้วย
แต่การนำพลังงานลมมาใช้ไม่ว่าจะเพื่อสูบน้ำหรือผลิตกระแสไฟฟ้าก็ตาม
มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
1)
เสียงรบกวน (noise pollution)
กังหันลมที่หมุนด้วยความเร็วสูงจะทำให้เกิดเสียงดังรบกวนบริเวณใกล้เคียง
ซึ่งเสียงดังเกิดเนื่องจาก 2 สาเหตุคือ
เสียงจากเครื่องมือที่ผลิตไฟฟ้าซึ่งเรียกว่า เสียงจากเครื่องกล (mechanical
noise) และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากกระแสลมกระทบใบพัด
ซึ่งเรียกว่าเสียงจากการเคลื่อนที่ของอกาศ (aerodynamic noise)
2)
รบกวนสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic
interference) การใช้พลังงานลมส่งผลกระทบต่อการส่งและรับสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ถ้าวัสดุที่ใช้ทำกังหันเป็นโลหะ
3)
รบกวนต่อการบินและการนำสัญญาณ (interference with aviation and navigation)
กังหันลมที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณสนามบินจะรบกวนต่อการบินและสัญญาณเรดาร์
บรรณานุกรม
นที ศรืทอง. (2552) กังหันลม –
กังหันน้ำผลิตไฟฟ้าใช้เอง. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงทพฯ
: เกษตรกรรม
ธรรมชาติ
วรนุช แจ้งสว่าง. (2553) พลังงานหมุนเวียน. พิมพ์ครั้งที่
2 กรุงทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การคำนวณ
Power
calculation ของกังหันลม.(ม.ป.ป.).สืบค้นเมื่อ
26 พฤศจิกายน 2561, จาก
https://technology.thaiza.com /การคำนวณ
Power calculation ของกังหัน
ลม/311930/
กังหันลมผลิตไฟฟ้า.(ม.ป.ป.).สืบค้นเมื่อ
26 พฤศจิกายน 2561, จาก http://www3.egat.co.th/re/
egat_wind/egat_windlamtakhong/wind_lamtakhong.htm
ค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ
ของกังหันลมผลิตไฟฟ้า.(ม.ป.ป.).สืบค้นเมื่อ
26 พฤศจิกายน 2561, จาก
ทฤษฎีพลังงานลม.(ม.ป.ป.).สืบค้นเมื่อ
26 พฤศจิกายน 2561, จาก https://sites.google.com/site/
labkanghanlm/bth-thi-2-1/xeksar-laea-thvsdi-thi-keiywkhxng
พลังงานลม กับ อากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics.
(ม.ป.ป.).สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2561, จาก
หมายเหตุ : เรียบเรียงโดย : นายปิยพัทธ์ อ่อนน้อม
จัดทำโดย : นายธนากิจ ทองมนต์














ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น