โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
ปัจจุบันไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์
นับวันความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะที่เชื้อเพลิงจากฟอสซิล คือ น้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานหลักที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้ากำลังจะหมดไป
แม้ว่าจะมีการเสนอให้ใช้พลังงาน อย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม
พลังงานจากขยะ และพลังงานชีวมวลมาทดแทน
แต่พลังงานเหล่านี้มีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูง
ไม่มีเสถียรภาพและความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าฐานซึ่งต้องการปริมาณไฟฟ้าจำนวนมากและต้องผลิตไฟฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนข้อเสนอที่จะให้ผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแม้ว่าจะมีต้นทุนในการผลิตสูงกว่าพลังงานนิวเคลียร์ไม่มากนัก
แต่เนื่องจากในกระบวนการผลิตได้ก่อให้เกิดมลภาวะและส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน
ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยจึงหันไปให้ความสนใจที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์
เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยที่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
คือ ระบบที่จะนำพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์มาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โดยทั่วไปประกอบด้วยส่วนหลักๆ 4 ส่วนคือ
เตาปฏิกรณ์ ระบบระบายความร้อน ระบบกำเนิดกระแสไฟฟ้า และระบบความปลอดภัย พลังงานที่เกิดขึ้นในเตาปฏิกรณ์เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน
สิ่งที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน
ไม่ได้มีเพียงพลังงานจำนวนมากที่ปลดปล่อยออกมา แต่รวมถึงผลผลิตที่ได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันนิวตรอนอิสระจำนวนหนึ่ง
การควบคุมจำนวนและการเคลื่อนที่ของนิวตรอนอิสระภายในเตาปฏิกรณ์โดยสารหน่วงนิวตรอน และแท่งควบคุมจะเป็นการกำหนดว่า
จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันขึ้นภายในเตาปฏิกรณ์มากน้อยเพียงใด พลังงานที่ผลิตเกิดขึ้นภายในเตาปฏิกรณ์ จะถูกนำออกมาโดยตัวนำความร้อน ซึ่งก็คือของไหลเช่น น้ำ,เกลือหลอมละลายหรือก๊าซคาร์บอนไดอออกไซค์ ของไหลจะรับความร้อนจากภายในเตาปฏิกรณ์
จนตัวมันเองเดือดเป็นไอหรือเป็นตัวกลางในการนำความร้อนไปยังวงจรถัดไปเพื่อผลิตไอน้ำ
ไอน้ำที่ได้จะถูกส่งผ่านท่อไปยังระบบกำเนิดกระแสไฟฟ้า
ที่ไอน้ำจะถูกนำไปขับกังหันไอน้ำที่จะใช้ในการหมุนเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าต่อไป
เราสามารถจำแนกรูปแบบของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ตามลักษณะทั่วไปของเตาปฏิกรณ์ได้
3 ประเภท ได้แก่
3.1 โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบปฏิกรณ์น้ำอัดความดัน (Pressurized Water Reactor - PWR)
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดัน
เป็นโรงไฟฟ้าที่นิยมใช้มากที่สุด
โดยใช้น้ำเป็นทั้งตัวกลางระบายความร้อนและสารหน่วงนิวตรอน
มีการออกแบบระบบการทำงานให้มีสองวงจร
โดยวงจรแรกจะเป็นระบบระบายความร้อนออกจากเตาปฏิกรณ์
ที่ซึ่งน้ำจะไหลผ่านเตาปฏิกรณ์เพื่อระบายความร้อนออกจากแกนปฏิกรณ์
และนำความร้อนที่ได้ส่งต่อให้วงจรที่สองที่อุปกรณ์กำเนิดไอน้ำ
เพื่อผลิตไอน้ำไปขับกังหันไอน้ำ น้ำในวงจรแรกนี้จะมีอุณหภูมิสูงถึง 325
องศาเซลเซียส ดังนั้นวงจรแรกจึงต้องทำงานภายใต้ความดันที่สูงมาก
เพื่อป้องกันการเดือดของน้ำในวงจร อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมแรงดันในวงจรแรกคือตัวควบคุมความดัน
(pressurizer) โดยน้ำในวงจรแรกจะทำหน้าที่ทั้งเป็นสารหล่อเย็นและสารหน่วงนิวตรอนให้แก่เตาปฏิกรณ์
ในส่วนของวงจรที่สองนั้นจะทำงานภายใต้ความดันที่ต่ำกว่าวงจรแรก
ซึ่งน้ำในวงจรนี้จะถูกต้มให้เดือดเพื่อผลิตไอน้ำที่อุปกรณ์กำเนิดไอน้ำ
ไอน้ำที่ผลิตได้จะใช้ในการขับกังหันไอน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
หลังจากนั้นจะควบแน่นกลับไปเป็นน้ำแล้วไหลกลับไปที่อุปกรณ์ผลิตไอน้ำ
เพื่อเปลี่ยนเป็นไอน้ำต่อไปเรื่อย ๆ
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำเดือด
มีการทำงานที่คล้ายคลึงกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดันมาก แตกต่างกันเพียงแค่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำเดือด
มีวงจรการทำงานเพียงแค่วงจรเดียว ที่ซึ่งน้ำจะถูกต้มภายในเตาปฏิกรณ์ (Reactor
Vessel) โดยตรง ที่อุณหภูมิประมาณ 285 องศาเซลเซียส
เตาปฏิกรณ์แบบนี้ถูกออกแบบให้ทำงาน โดยที่ส่วนบนของแกนปฏิกรณ์ประมาณ 12-15%
มีสภาพเป็นไอน้ำ ระบบของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำเดือดนั้น
ถูกออกแบบให้น้ำเดือดภายในเตาปฏิกรณ์ทำให้เตาปฏิกรณ์แบบนี้จะทำงานที่ความดันต่ำกว่าเตาปฏิกรณ์แบบน้ำอัดความดัน
ไอน้ำที่ผลิตได้ภายในเตาปฏิกรณ์
จะไหลผ่านอุปกรณ์แยกน้ำบริเวณส่วนบนของเตาปฏิกรณ์
แล้วจะไหลออกไปขับกังหันไอน้ำโดยตรง
เนื่องจากน้ำที่ไหลผ่านแกนปฏิกรณ์จะมีการปนเปื้อนจากสารรังสี
ทำให้อุปกรณ์ในส่วนของกังหันไอน้ำ (Steam Turbine) จะโดนปนเปื้อนจากสารรังสีด้วย ดังนั้นอุปกรณ์ในส่วนของกังหันไอน้ำ
จึงต้องได้รับการป้องกันรังสีเช่นเดียวกับระหว่างการบำรุงรักษา
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำเดือดจะมีต้นทุนต่ำกว่าแบบอื่น
เนื่องจากเป็นระบบที่เรียบง่าย
และในส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนรังสีของอุปกรณ์ของระบบกังหันไอน้ำนั้น
เนื่องจากสารปนเปื้อนในน้ำนั้นมีอายุสั้นมาก
โดยห้องกังหันไอน้ำสามารถเข้าไปเพื่อบำรุงรักษาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หลังจากการ
shut down เตาปฏิกรณ์
รูปที่ 3 โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำเดือด
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำมวลหนักอัดความดัน
พัฒนาโดยประเทศแคนาดาในช่วงปี ค.ศ.1950 ภายใต้ชื่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบแคนดู
(CANDU) โรงไฟฟ้าแบบนี้ใช้ยูเรเนียมธรรมชาติที่ไม่มีการเสริมสมรรถนะเป็นเชื้อเพลิง
ทำให้ต้องใช้สารหน่วงนิวตรอนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดันหรือแบบน้ำเดือด
ซึ่งในกรณีนี้ได้มีการนำน้ำมวลหนัก (D2O) มาใช้
ในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำมวลหนักอัดความดัน
มีการออกแบบระบบการทำงานให้มีสองวงจรเหมือนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดัน
โดยในวงจรแรกน้ำมวลหนัก (D2O) ที่จะทำหน้าที่ทั้งเป็นสารหน่วงนิวตรอนและระบายความร้อนออกจากมัดเชื้อเพลิง
จะถูกอัดภายใต้ความดันสูง
และจะไหลผ่านช่องบรรจุเชื้อเพลิงเพื่อระบายความร้อนออกจากเตาปฏิกรณ์ที่เรียกอีกชื่อว่า
คาแรนเดรีย จนน้ำมวลหนักในวงจรแรกมีอุณหภูมิสูงถึง 290°C และเช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดัน
น้ำมวลหนักจะถ่ายเทความร้อนให้แก่วงจรที่สองเพื่อผลิตไอน้ำที่อุปกรณ์กำเนิดไอน้ำ
แล้วขับกังหันไอน้ำผลิตกระแสไฟฟ้า เนื่องจากการใช้ยูเรเนียมธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบน้ำมวลหนักอัดความดัน
ต้องมีการเปลี่ยนเชื้อเพลิงทุกวัน จึงมีการออกแบบให้โรงไฟฟ้าชนิดนี้สามารถเปลี่ยนเชื้อเพลิงได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงานของเตาปฏิกรณ์
อุปกรณ์ที่ทำให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ สามารถควบคุมปฏิกิริยาการแตกตัว
และควบคุมพลังงานที่เกิดขึ้นได้ตามต้องการ เรียกว่า “เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์”
ในส่วนของปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะต้องมีอุปกรณ์ควบคุมปฏิกิริยาแตกตัว มีเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
และมีสารระบายความร้อน ตามหลักวิชาการโดยทั่วไปในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์นั้น
เชื้อเพลิงที่ใส่ในเตาปฏิกรณ์คือวัสดุที่ใช้นิวตรอนยิงให้เกิดปฏิกิริยาแตกตัว
เป็นวัสดุที่แตกตัวได้ง่าย แม้นิวตรอนจะมีพลังงานทีต่ำมากเกือบใกล้ศูนย์
เราเรียกว่า วัสดุฟิสไซด์ (Fissile Material)
ได้แก่ ยูเรเนียม-233 ยูเรเนียม-235 และพลูโทเนียม-239
วัสดุฟิสไซด์ทีพบในธรรมชาติมีพียงชนิดเดียวเท่านั้นคือ ยูเรเนียม-235
ปนอยู่กับยูเรเนียม-238 ในสัดส่วนโดยอะตอม 0.72 : 99.28
สำหรับวัสดุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้รองลงมา คือ ยูเรเนียม-233
และพลูโทเนียม-239 ซึ่งสามารถผลิตขึ้นได้จากการยิงทอเรียม-232 และยูเรเนียม-238
ด้วยนิวตรอน ทอเรียม-232 และยูเรเนียม-238 มีอยู่มากในธรรมชาติ
เราเรียกว่าเป็นวัสดุเฟอร์ไทล์ (Fertile Material)
เมื่อยิงนิวตรอนไปยังนิวเคลียสของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
นิวเคลียสหนึ่งจะแตกตัวออกเป็น 2 ส่วน พร้อมเกิดนิวตรอนใหม่อีก 2-3 ตัว
นิวตรอนที่เกิดใหม่นี้จะชนกับนิวเคลียสของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
ทำให้เกิดการแตกตัวของนิวเคลียสตัวอื่น ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ การแตกตัวของนิวเคลียสของเชื้อเพลิงต้องการนิวตรอนไปทำปฏิกิริยาเพียง
1 ตัวเท่านั้น ฉะนั้น อัตราการเกิดและการสูญหายของนิวตรอนจะต้องสมดุลกัน
จึงต้องทำให้เกิดการสูญหายของนิวตรอนไปจากระบบปฏิกิริยาลูกโซ๋คือถูกดูดจับไว้ภายใน
ในทางปฏิบัติจึงต้องมีการจัดการส่วนผสม
และปริมาตรของแกรปฏิกิริยานิวเคลียร์ให้เกิดความสมดุลของนิวตรอนในปฏิกิริยา
โดยให้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์และส่วนประกอบอื่น ๆ มีความสอดคล้องกันในภาวะมวลวิกฤต
และปริมาตรวิกฤต
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาแตกตัว
มีเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ส่วนหนึ่งที่แตกตัวได้ยากคือ ยูเรเนียม-238 และทอเรียม-232
ในบางส่วนจะดูดจับนิวตรอนไว้เฉย ๆ กลายเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่แตกตังได้ดีคือ
พลูโทเนียม-239 และยูเรเนียม-233 การที่เกิดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ขึ้นใหม่นี้
คิดจากอัตราส่วนการแปรเปลี่ยน (Conversion Ratio) คือ
จำนวนอะตอมของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่เกิดใหม่ต่อจำนวนอะตอมของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เดิมที่ถูกใช้ไป
ตามปกติในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โดยทั่วไปมักจะมีค่าน้อยกว่า 1
แต่ถ้าปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่มีอัตราส่วนการแปรเปลี่ยนที่มีค่ามากกว่า 1
แสดงว่าเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีปริมาณที่มากกว่าเชื้อเพลิงที่สิ้นเปลืองไป
เป็นปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เรียกว่า บรีดเดอร์ (Breeder)
ฉะนั้น ขณะเกิดปฏิกิริยาแตกตัวเป็นลูกโซ่
ส่วนผสมของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น
มีปริมาณเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ลดลง มีธาตุใหม่เกิดขึ้น บางธาตุก็ดูดนิวตรอน เช่น
ซีนอน-135 และซาแมเรียม-149 บางธาตุเกิดเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใหม่ เช่น
พลูโทเนียม-239 และยูเรเนียม-233 ทำให้เพิ่มนิวตรอน
การควบคุมการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จึงมีการปรับส่วนผสมของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้อยู่ในสภาวะมวลวิกฤตตลอดเวลา
ในค่าของรีแอกทิวิตี้ (Reactivity) กล่าวคือ
ถ้าปฏิกิริยาแตกตัวเพิ่มมากขึ้นค่ารีแอกทิวิตี้ทางบวก
และปฏิกิริยาลดน้อยลงเมื่อค่ารีแอกทิวิตี้ทางลบ
โดยการเลื่อนแท่งควบคุมปฏิกิริยาแตกตัวอย่างช้า ๆ (ตามปกติทำโดยอัตโนมัติ)
นอกจากนี้การสิ้นเปลืองของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ขึ้นอยู่กับการจัดวางมัดเชื้อเพลิงด้วย
ถ้าเชื้อเพลิงทุกมัดมีความเข้มข้นของยูเรเนียม-235 เท่ากันตลอด
เชื้อเพลิงส่วนที่อยู่ใจกลางปฏิกรณ์จะทำปฏิกิริยาสูงสุดเนื่องจากนิวตรอนหนาแน่นมากกว่ารอบนอก
และจะค่อย ๆ ลดปฏิกิริยาแตกตัวลสู่รอบนอก บริเวณขอบแกนปฏิกรณ์จะมีการเกิดปฏิกิริยาแตกตัวต่ำสุด
เพื่อการสมดุลในการใช้เชื้อเพลิงจึงจัดวางมัดเชื้อเพลิง
หรือบรรจุแท่งเชื้อเพลิงตามชนิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ซึ่งจะให้ความเข้มข้นด้านในต่ำกว่าด้านนอก
เพื่อบังคับปฏิกิริยาแตกตัวให้สม่ำเสมอตลอดทั้งแกรปฏิกรณ์นิวเคลียร์ มีประสิทธิภาพ
มีความปลอดภัย
ลดค่าใช้จ่ายในการทำยูเรเนียมเข้มข้นและจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิงนิวเคลียร์พร้อมกันทั้งหมด
จะเปลี่ยนแปลเพียงบางส่วน เฉพาะบริเวณที่อยู่ด้นในเท่านั้น
โดยใช้วิธีการขยับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่อยู่ด้านนอก
เข้าไปแทนที่พร้อมกับเติมเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ชุดใหม่ไว้ด้านนอกรอบ ๆ
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์มีหลายชนิด มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป
โดยแบ่งการทำงานเป็น
2 ส่วน
ซึ่งแต่ละส่วนมีส่วนประกอบของเครื่องโดยทั่วไปดังนี้
1. เชื้อเพลิง (Fuel) อาจใช้ยูเรเนียม พลูโตเนียม เป็นต้น
2. มอเดอร์เรเตอร์
(Moderator) มีหน้าที่ทำให้นิวตรอนวิ่งช้าลง
เพราะนิวตรอนช้ามประสิทธิภาพในการทำให้เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียสได้ดีกว่านิวตรอนเร็ว
สารที่ใช้เป็นมอเดอร์เรเตอร์ ได้แก่ คาร์บอน เมื่อนิวตรอนวิ่งผ่านคาร์บอนจะชนกับอะตอมของคาร์บอน
ทำให้มันวิ่งช้าลงได้ความเร็วตามที่เราต้องการ
3. แท่งบังคับ (Control
Rods) มีหน้าที่ควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ให้เกิดมากเกินไป
ที่นิยมใช้คือ แคดเมียม หรือโบรอน แคดเมียมจะเป็นตัวดูดกลืนนิวตรอนไว้ได้ดีมาก
ดังนั้นถ้าสอดแท่งแคดเมียมให้ลึกเข้าไปในเครื่องมาก ๆ ก็จะดูดนิวตรอนไว้ได้น้อยลงและปฏิกิริยาลูกโซ่ก็จะค่อย
ๆ เพิ่มขึ้นตามมา
4. ตัวทำให้เย็น (Coolant) เพื่อนำเอาความร้อนออกไปจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ โดยอาจใช้น้ำธรรมดา
โลหะ โซเดียม คาร์บอนไดออกไซด์ ฮีเลียม หรืออากาศ เป็นต้น
5. เครื่องกำบัง (Shield) มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีออกจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ซึ่งอาจทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เครื่องกำบังอาจทำด้วยคอนกรีดหนา ๆ
หรืออาจใช้บ่อน้ำก็ได้
การทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อาจอธิบายได้ดังนี้
เริ่มจากยูเรเนียมที่ใส่อยู่ในเครื่องนั้น ปกติจะเป็น ยูเรเนียม-235 มีปริมาณน้อยกว่า 1% ของยูเรเนียมทั้งหมด
ทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิง ส่วนยูเรเนียมที่เหลือ นอกนั้นคือ ยูเรเนียม-238
เมื่อนิวตรอนวิ่งผ่านเข้าไปในเครื่อง จะยิงนิวเคลียสของ ยูเรเนียม-235
ทำให้เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียสขึ้น นิวเคลียสที่ถูกแบ่งแยกออกจะมีนิวตรอนเกิดขึ้น 1
หรือ 2 ตัว
ซึ่งจะวิ่งผ่านเข้าเครื่องต่อไปแล้วยิงนิวเคลียสอื่นต่อไป
ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่และได้พลังงานเกินขึ้นมากมาย
มาตรการความปลอดภัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์พัฒนาขึ้นจากแนวคิดพื้นฐานการป้องกันรายการ
เพื่อให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสาธารณชน และสิ่งแวดล้อม
นับตั้งแต่คุณสมบัติของโรงไฟฟ้า เช่น ใช้ยูเรเนียมที่มีความเข้มข้นต่ำ
และปฏิกรณ์ที่ได้รับการออกแบบให้ทำงานเฉพาะในสภาวะปฏิกิริยาแตกตัวของที่เท่านั้นไม่
สามารถระเบิดในลักษณะเกี่ยวกับระเบิดปรมาณู จนถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม ได้แก่
สิ่งปิดกั้นรังสีหลายชั้น ตั้งแต่เม็ดเชื้อเพลิงไปจนถึงอาคารปฏิกรณ์
อุปกรณ์ควบคุมการผลิตพลังงาน ระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน เป็นต้น
ความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
หมายถึง
การควบคุมการปล่อยสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
ทั้งที่เกิดเป็นครั้งคราว หรือเกิดในกรณีอุบัติเหตุ
มีวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยของประชาชนโดยรอบและผู้ปฏิบัติงานในโรงไฟฟ้า
ความปลอดภัยต่อระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม
และความปลอดภัยต่อระบบการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ปรัชญาความปลอดภัย
ในการออกแบบการก่อสร้าง
และการเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีปรัชญาความปลอดภัยอยู่ 3 ประการที่ต้องปฏิบัติ
เพื่อให้ประชาชนและสิ่งแวดล้อมมีความเสี่ยงภัยน้อยที่สุด คือ
1)
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต้องควบคุมพลังงานได้ (Control) ด้วยการควบคุมความร้อนที่เกิดขึ้นได้สองทาง ทั้งในขณะเดินเครื่องปกติ
และในกรณีดับเครื่อง (Shutdown)
2)
เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ต้องเย็น (Cool)
เสมอ
มีการระบายความร้อนทั้งในขณะเดินเครื่องปกติและในกรณีดับเครื่อง
3) สารกัมมันตรังสีต้องเก็บไว้มิดชิด (Containment) จะมีสิ่งปิดกั้น 5 ชั้น
เพื่อป้องกันสารรังสีมิให้รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม
5.1
การเลือกสถานที่ตั้ง
การสำรวจเลือกหาสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
จะต้องมีความเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) หรือถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ
IAEA ได้ทั้งหมด
จะต้องมีการเผื่อค่าความปลอดภัยให้สูงมากกว่ามาตรฐานทั่วไป เพื่อให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตั้งอยู่ในสถานที่ตั้งที่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
รายการออกแบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ต้องยึดถือเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยใช้หลักเกณฑ์การออกแบบป้องกันอุบัติเหตุขั้นพื้นฐาน
เพื่อป้องกันมิให้มีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีออกมานอกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเพียงใดก็ตาม
องค์ประกอบหลักโครงการออกแบบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
คือ มาตรการป้องกันระบบความปลอดภัยทางวิศวกรรม และระบบเสริมความปลอดภัย
5.2.1
มาตรการป้องกัน
มาตรการป้องกันเป็นพื้นฐานสำคัญในการออกแบบทางด้านความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ปฏิบัติเป็น 3 ระดับ คือ ออกแบบให้ได้มาตรฐานสากล และมีระบบป้องกันสำรองของระดับที่ 2
ระบบป้องกันมีหน้าที่
ป้องกัน : ยับยั้งการเกิดเหตุการณ์ต่าง
ๆ โดยการควบคุมคุณภาพในการออกแบบก่อสร้าง เดินเครื่อง และบำรุงรักษา
บรรเทา :
จำกัดความถี่ของการเกิดเหตุการณ์อย่างมีศักยภาพด้วยการใช้ระบบที่หลากหลาย หลาย ๆ ระบบ
และเป็นระบบขั้นพื้นฐาน
เก็บกัก :
จำกัดการปรับปล่อยสารกัมมันตรังสีที่มีศักยภาพในระหว่างที่เกิดเหตุ
ด้วยวิธีการใช้สิ่งปิดกั้นรังสี
เตรียมการในกรณีฉุกเฉิน :
จำกัดความถี่ของการเกิดเหตุการณ์ที่มีศักยภาพด้วยการจัดเตรียมแผนการประกอบเครื่องมือต่าง
ๆ ที่ดำเนินการได้โดยมนุษย์
มาตรการป้องกันความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สมัยใหม่ที่ก่อสร้างในต่างประเทศที่ใช้กันมาถึง
5 ขั้นตอน
คือ สิ่งปิดกั้น ระบบการดำเนินการ ระบบความปลอดภัย การอบรมบุคลากร และวิธีปฏิบัติ
5.2.1.1 สิ่งปิดกั้น
จะทำหน้าที่ป้องกันการปล่อยสารกัมมันตรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ออกสู่สิ่งแวดล้อม
มีสิ่งปิดกั้น 5 ขั้น ดังนี้
เม็ดเชื้อเพลิง ทำจากธาตุยูเรเนียมหรือพลูโทเนียม
ซึ่งเป็นวัสดุนิวเคลียร์อยู่ในรูปของแข่งอัดแน่น สามารถทนความร้อนได้สูงถึงประมาณ 2800
องศาเซลเซียส ต้านทานการกัดกร่อน
สามารถจัดการสารกัมมันตรังสีที่มีพลังงานได้บางส่วน
เปลือกหุ้มเชื้อเพลิง
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งผ่านความร้อนจากเม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ให้กับสารหล่อเย็นของระบบถ่ายเทความร้อน
ป้องกันไม่ให้สารหล่อเย็นสัมผัสกับเม็ดเชื้อเพลิง และเก็บกักสารกัมมันตรังสีไม่ให้ไหลออกจากเม็ดเชื้อเพลิงมาตรฐานกับสารหล่อเย็น
ทำจากโลหะผสมเซอร์โครเมียม มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ต้านทานการกัดกร่อนได้อย่างดี
ระบบถ่ายเทความร้อน
ทำหน้าที่รับและคายความร้อนจากเม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ส่งผ่านมาทางปลอกหุ้มเชื้อเพลิงไปถ่ายเทให้กับระบบผลิตไอน้ำในลักษณะเป็นวงจรปิด
ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ สารหล่อเย็น
ถ้ามีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมาจากเม็ดเชื้อเพลิงก็จะยังคงอยู่ในสารหล่อเย็นนี้ แล้วจึงถูกกำจัดออกด้วยระบบกรองสารกัมมันตรังสีต่อไป
นอกจากนี้ สารหล่อเย็นยังสามารถช่วยกำบังรังสีได้ระดับหนึ่ง
อุปกรณ์ระบบปิด หมายถึง อุปกรณ์ที่บรรจุสารหล่อเย็นอยู่ภายใน
โดยมีลักษณะเป็นวงจรปิด คือ ท่อปฏิกรณ์นิวเคลีย และปั๊มต่าง ๆ
สามารถกักกันสารกัมมันตรังสีไม่ให้รั่วไหลออกสู่ภายนอก
จะทำจากโลหะเหล็กกันสนิมหนาประมาณ
150-220 มิลลิเมตร กำแพงคอนกรีตกำบังรังสี
เป็นคอนกรีตชนิดพิเศษที่ผสมด้วยแร่โลหะและวัสดุหลายชนิดอยู่รอบรอบเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ทำหน้าที่กำบังรังสีแกรมมาและรังสีนิวตรอนพลังงานสูงที่สามารถวิ่งผ่านทะลุออกจากเตาปฏิกรณ์ได้
ระบบอาคารคลุมปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ทำหน้าที่ป้องกันการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีด่านสุดท้าย
มีให้ออกสู่ภายนอกบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และสามารถรองรับแรงดันสูงสูงๆได้
ในกรณีที่เกิดเหตุรุนแรง นอกจากนี้ยังสามารถต้านทานแรงกระทำจากภายนอก เช่น
แผ่นดินไหว ฝนฟ้าคะนอง พายุหมุนชนิดต่าง ๆ น้ำท่วม เครื่องบินชนหรือแตกใส่
การโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดหรือขีปนาวุธได้เป็นอย่างดี
อาคารคลุมปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ประกอบด้วยผนัง 3 ชั้น มีความหนาทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 1.3 เมตร
โดยชั้นในเป็นแผ่นเหล็กกล้าหนาประมาณ 6 มิลลิเมตร เพื่อช่วยปรับอากาศและการรั่วไหลของอากาศจากภายในอาคาร
ส่วนฉันกลายเป็นคอนกรีตอัดแรง และชั้นนอกเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
โดยพื้นฐานอาคารจะหนาไม่ต่ำกว่า 3 เมตร
เขตกักกัน
หมายถึง อาณาบริเวณที่อยู่ในความควบคุม
และมีการตรวจวัดสารกัมมันตรังสีด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดรังสีตลอดเวลา
เพื่อป้องกันไม่ให้สารกัมมันตรังสีกล้วยออกสู่สิ่งแวดล้อม
คือเป็นอันตรายต่อประชาชน แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ สถานที่ตั้ง หมายถึง
อาณาบริเวณภายในตัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และบริเวณอพยพ หมายถึง อาณาบริเวณรอบ ๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัศมีไม่เกิน
1 กิโลเมตร
5.2.1.2 ระบบการดำเนินการ เป็นระบบที่ดำเนินการในการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในภาวะปกติ
เพื่อให้การผลิตความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้าออกมามีความปลอดภัย
ระบบการดำเนินการของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แยกเป็น 2
ระบบย่อยคือ ระบบพาความร้อน
โดยการอาศัยระบบถ่ายเทความร้อนเป็นเครื่องมือ และระบบควบคุมความร้อน
5.2.1.3 ระบบความปลอดภัย
เป็นระบบที่ทำให้เกิดดุลยภาพภาพด้วยการควบคุมความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ในภาวะฉุกเฉินที่ระบบการควบคุมปกติป้องกันไม่ได้ ประกอบด้วย 2 ระบบใหญ่ คือ ระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน
และระบบระบายความร้อนของอาคารคลุมปฏิกรณ์นิวเคลียร์
5.2.1.4 การอบรมบุคลากร
มาตรการป้องกันยังไม่น่าเชื่อถือได้ว่าจะสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้สมบูรณ์
จำเป็นต้องมีบุคลากรที่เหมาะสมทั้งทางด้านการเดินเครื่องและบำรุงรักษา
มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเงื่อนไขของระบบต่าง ๆ มีความตื่นตัว
และกระตือรือร้นต่อเหตุการณ์ปกติ
สามารถดำเนินการได้ในทันทีเพื่อป้องกันหรือลดความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ
5.2.1.5 วิธีปฏิบัติ หมายถึง
การตรวจตราหรือแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อการใช้วิธีปฏิบัติที่เหมาะสม เช่น
มีโปรแกรมการตรวจสอบเป็นประจำ มีโปรแกรมการควบคุมการเดินเครื่อง
โปรแกรมการบำรุงรักษาเพื่อตรวจสอบและแก้ไขก่อนที่จะเสีย
เมื่อมีข้อบกพร่องเกิดขึ้นก็จะมีการตรวจสอบและแก้ไขด้วยวิธีที่ถูกต้อง รัดกุม
การใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นต้นพลังงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้านั้น
มีปัจจัยสำคัญที่ผู้วางแผนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ต้องคำนึงถึง คือ ความปลอดภัยของประชาชน
และการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะต้องดำเนินการให้ประชาชนรู้เรื่องและเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับอันตรายกัมมันตรังสีจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
รวมทั้งป้องกันอันตรายที่อาจจะมีขึ้นด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพก็คือ
การปฏิบัติการของผู้เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตั้งแต่ริเริ่ม ผู้ออกแบบ
ผู้ผลิตอุปกรณ์ ผู้ก่อสร้าง ผู้เดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ โดยตลอดทุกระยะ การมีมาตรฐานที่เข้มงวดในการสรรหาบุคลากร
การควบคุม การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างมีรระบบที่มีประสอทธิภาพ
การควบคุมกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และจากขั้นตอนต่าง ๆ
ของวัฏจักรเชื้อเพลิง
ตลอดจนวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับระบบความร้อนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างเหมาะสม
6.1.1
การเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดินเครื่องตามปกติ สารกัมมันตรังสีส่วนใหญ่ได้จากธาตุที่เป็นผลิตผลจากปฏิกิริยาการแตกตัวของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
ซึ่งจะถูกกักอยู่ในหลอดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
แต่หลอดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์บางหลอดอาจมีสารกัมมันตรังสีเล็ดลอดออกมาสู่น้ำระบายความร้อนได้
อย่างไรก็ดี สารเหล่านี้จะถูกกำจัดกัมมันตรังสีซึ่งกักและมีวิธีลดปริมาณรังสีจนถึงระดับปลอดภัย
ระดับรัวสีที่ประชาชนซึ่งอยู่รอบ ๆ
บริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะได้รับจากการเดินเครื่องปกติจะเท่ากับ 1 ใน 100
ของระดับรังสที่ได้รับจากธรรมชาติในบริเวณนั้น
6.1.2 ลักษณะการออกแบบของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อความปลอดภัย
การออกแบบเพื่อความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการเสี่ยงอันตราย
หากเกิดขึ้นก็จะจัดผลเสียหายให้อยู่ในขอบเขตที่เล็กลง และสามารถควบคุมได้
ในการออกแบบเพื่อความปลอดภัยสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
นานประเทศใช้หลักการที่เรียกว่าการป้องกันแบบหลายชั้น (Defense in
depth) หลักการมีอยู่ 2 ประการ คือ
ประการแรก ได้แก่ การสร้าเครื่องป้องกัน
(Barriers)
ได้แก่
-
หลอดเชื้อเพลิงและเม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
-
ระบบระบายความร้อน
-
อาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
เพื่อให้เครื่องป้องกันดังกล่าวมีสรรมถภาพ
การออกแบบจะต้องจะต้องเป็นไปตามแบบที่เคยใช้มาแล้ว และพิสูจน์แล้วว่าใช้การได้ดี
และต้องออกแบบเผื่อไว้ด้วย เนื่องจากเครื่องปกป้องจะอยู่ในสภาวะใช้งานตลอดเวลา
จึงต้องมีระบบเสริม ในกรณีที่เครื่องปกป้องใดลดหรือหมดสรรมถภาพ ระบบนี้เรียกว่า
ระบบความปลอดภัยทางวิศวกรรม (Engineered Safety System) เช่น
ระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน ระบบฉีดน้ำในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ เป็นต้น
ประการที่สอง สร้างเครื่องป้องกันหลายระบบ
คือ การออกแบบเพื่อมิให้เครื่องป้องกันลดสมรรถภาพ หลักการสำหรับส่วนนี้มีอยู่ 3
ระดับ ทั้ง 3
ระดับมุ่งไปยังการเดินเครื่องและปฏิกิริยาของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่อเหตการณ์ผิดปกติ
หรืออุบัติเหตุ ทั้ง 3 ระดับแบ่งแยกจากกันไม่ได้แน่ชัด ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
แต่ทุกชนิดก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
1)
ให้มั่นใจในสภาวะการเดินเครื่องอยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้
2)
จัดให้มีความปลอดภัยที่ออกแบบไว้โดยเฉพาะ
เพื่อการหยุดยั้งการทำงานที่
ผิดปกติซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะอุบัติเหตุได้
3)
จัดให้มีระบบลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ
ที่อาจทำให้กัมมันตรังสีเล็ดลอด
ออกจากที่ที่กำหนดไว้
ระดับแรก
ของการป้องกันคือ
พยายามมิให้การเดินเครื่องผิดไปจากธรรมดา การที่ระบบต่าง ๆ
จะทำงานภายใต้ขอบเขตที่กำหนดไว้ในขณะเดินเครื่องนั้น
การออกแบบอุกรณ์และส่วนประกอบต้องมีคุณภาพสูง นอกจากนี้การเลิกวัสดุที่ใช้
การทำส่วนประกอบ การก่อสร้าง การบำรุงรักษา การตรวจสอบการเดินเครื่อง
และประสิทธิภาพของพนักงานเดินเครื่องจะต้องเป็นที่เชื่อถือได้ และมีสรรมถภาพสูง
รวมทั้งระบบควบคุมและเครื่องวัดต่าง ๆ
ระดับที่ 2 มุ่งที่จะหยุดยั้งการทำงานที่ผิดปกติ
การเดินเครื่องที่ผิดปกตินี้
อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากสภาวะการเดินเครื่องไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ เช่น
ความผิดพลาดของพนักงานเดินเครื่อง ความผิดพลาดของเครื่องวัด เป็นต้น
หลักเกณฑ์ของการป้องกันของระดับสองนี้คือ
ให้มีข้อกำหนอเพื่อให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์คงอยู่ในสภาวะต่ำกว่าวิกฤต (Sub Critical) ทำการระบายความร้อนที่เกิดขึ้นอกจากระบบระบายความร้อนหลัก (Main
Cooling System) เมื่อหยุดเดินเครื่องแล้ว
และเพื่อให้สมรรถภาพของระบบระบายความร้อนทั้งหมดเป็นที่เชื่อถือและไว้ใจได้
รวมทั้งจะต้องมีน้ำระบายความร้อนสำรองอยู่อย่างพอเพียงตลอดเวลา
การป้องกันระดับที่สองนี้ ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการออกแบบ (Design Basis) ระบบป้องกันเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และระบบความปลอดภัยอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ระดับที่ 3 เป็นการป้องกันเพื่อที่จะทำให้กัมมันตภาพรังสีที่เกิดเล็ดลอดออกมาอยู่ในขอบเขตจำกัดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เช่น
ลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับกัมมันตรังสีหรือที่เกิดขึ้นนอกระบบระบายความร้อน
เช่น การจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ (Fuel Management) ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชนิดใช้น้ำธรรมดา
อาจสร้างอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ที่มีความดันภายในต่ำกว่าบรรยากาศ เป็นต้น
6.2.1
ขั้นเริ่มแรกของโครงการ
การพิจารณาเกี่ยวกับความปลอดภัย
ในระยะเริ่มแรกของโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้แก่ การคัดเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า
การตรวจสอบข้อเสนอของบริษัทผู้ผลิตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
และรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัย
การพิจารณาสถานที่ตั้งในเรื่องความปลอดภัยจะต้องพิจารณา
- ธรณีวิทยาและการเปลี่ยนแปลงของผิวพื้น (Geology and Tectonic)
- แผ่นดินไหว คลื่นใต้น้ำ (Seismology and Tsunami)
- วิศวกรรมแผ่นดินไหว (Engineering and
Seismology)
- การถ่ายเทความร้อน (Heat Removal)
- อุตุนิยมวิทยา (Hydrology) รวมทั้งการแพร่กระจายในบรรยากาศและ
ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่รุนแรง
- ภัยจากเหตุการณ์ที่มนุษย์ได้กระทำขึ้น
- การกระจายของประชากร
6.2.2 ขั้นตอนการออกแบบ
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนในการกำหนดระดับพลังงานที่จะผลิตได้
และขีดจำกัดของความสามารถในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในโรงไฟฟ้าฟ้านิวเคลียร์
เพื่อใช้เป็นพื้นฐานและขอบเขตสำหรับการเดินเครื่องอย่างปลอดภัย พื้นฐานและขอบเขตนี้จะต้องทดสอบได้โดยการวัด
(Measurement) หรือแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนสำคัญของขั้นตอนนี้
คือผลการวิเคราะห์และศึกษาลักษณะสถานที่ตั้งที่ได้กระทำมาแล้วอย่างละเอียดทุกส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัย
สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้มีการใช้ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาเป็นประโยชน์ในส่วนต่าง
ๆ ของโครงการ เช่น
วิเคราะห์ปัญหาการแพร่กระจายของบรรยากาศด้านความปลอดภัยให้ได้ผลสมตามที่คาดไว้
โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช่ข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเพื่อประโยชน์
ดังนี้
1.
การเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่เหมาะสม
2.
การออกแบบและก่อสร้าง
3.
การดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้า
4.
การวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉินและการปฏิบัติการ
การออกแบบและการก่อสร้าง (Design and
Construction) ใช้ผลจากการวิเคราะห์และค่าเฉลี่ยของข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาเป็นแนวทางกำหนดบางส่วน
ในการออกแบบและก่อสร้าง ข้อมูลทิศทางความเร็วลมเฉลี่ย ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย
ความถี่ของเมฆ และข้อมูลสถิติสภาวะอากาศรุนแรง
และทิศทางเฉลี่ยเพื่อทราบถึงข้อเท็จจริงทางอุตุนิยมวิทยาประจำถิ่น
ในส่วนของการออกแบบเพื่อสถานะการกระจายของบรรยากาศเพื่อความปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม
และประชาชน
ตัวเลขเหล่านี้จะต้องทำจากผลวิเคราะห์และพยากรณ์ล่วงหน้าสำหรับระยะเวลาที่ปล่อยรังสีระดับต่ำ
และการระบายอากาศในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กรณีเดินเครื่องโดยปกติ และกรณีเกิดอุบัติเหตุเพื่อกำหนดขนาดพื้นที่จำเป็นรอบโรงไฟฟ้า
สภาพและรูปร่างของของจุดปล่อยรังสีระดับต่ำและการระบายอากาศ
รวมทั้งองค์ประกอบทางกายภาพของช่องปล่อยปล่อง
ทั้งในแง่ความสูงตลอดจนตำแหน่งที่ตั้งเมื่อเทียบกับอาคารที่อยู่ใกล้เคียง
การออกแบบความปลอดภัยทางวิศวกรรมของอุปกรณ์กรองรังสี
ส่วนเก็บกักรังสีและระบบป้องกันเก็บกักรังสี
การเปลี่ยนแปลงปริมาณสารรังสีในบรรยากาศกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางอุตุนิยมวิทยามีผลต่อการกำหนดค่าตัวแปร
(Design
Parameter) ในการคำนวนณการแพร่กระจายของบรรยากาศจึงมีหลายวิธี
แต่วิธีที่ใช้ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศคือ
พาสคิลล์นั้นเป็นการพัฒนาการคำนวณข้อมูลการแพร่กระจายของบรรยากาศจาก 4
แหล่งผิวพื้น (Diffusion Data for Ground Level Sources)
และยังไม่มีวิธีคำนวณที่เหมาะสมกับจุดปล่อยระดับสูง
ขีดจำกัดของวิธีนี้เป็นการใช้ข้อมูลจากพื้นที่ราบเรียบสม่ำเสมอ ฉะนั้น
ถ้าพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้านิงเคลียร์เป็นที่ขรุขระและมีระดับสูงขึ้นไป
สถานการณ์สมดุลของบรรยากาศที่คำนวณไว้จะมากกว่าค่าที่คาดคะเนไวในระดับต่ำ
ถ้าผู้ออกแบบยอมรับค่าคาดเคลื่อนเหล่านี้ วิธีการพาสคิลล์ก็เพียงพอ
แต่ถ้าต้องการข้อมูลให้ละเอียด ต้องใช้วิธีการอื่นหาข้อมูลประกอบหรือหาค่าหักแก้เพิ่มเติม
ในขั้นตอนการก่อสร้างพลังงานนิวเคลียร์จะต้องมีหลักปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามรูปแบบทุกประการ
ทั้งนี้ต้องรวมถึงหลักปฏิบัติที่ดีที่สุด เช่น หลักปฏิบัตินการเชื่อมและการตรวจสอบ
และวิธีการทดสอบวัสดุและส่วนประกอบ
ในขั้นนี้ผู้บริหารและบุคลากรจะต้องเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์มาก
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ จะต้องมีแผนประกันคุณภาพที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
จึงจะประกันความความปลอดภัยและจะไม่ลดน้อยลง แผนสำหรับตรวจ ตรวจตรา และติดตามเป็นเรื่องสำคัญ
และต้องกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและทุกระยะของการก่อสร้าง
แม้ว่าจะมีหน่วยงานรับผิดชอบในการคัดเลือกสถานที่ตั้ง
การออกแบบ การก่อสร้าง และการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะสร้างนั้นมีความปลอดภัย
โดยการเสนอรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยต่อหน่วยงานที่มีอำนาจควบคุมพิจารณาและออกใบอนุญาตให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
หน่วยงานควบคุมนี้เป็นหน่วยงานอิสระของรัฐ
และจะรับผิดชอบในการพิจารณาด้านความปลอดภัยทั้งหมด ดังนั้น
ประสิทธิภาพและสมรรถภาพในการพิจารณาจึงมีความสำคัญ
แต่ทั้งนี้ข้อมูลที่เสนอในรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยก็จะต้องสมบูรณ์ด้วย
6.4.1 จุดมุ่งหมายในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัย
ให้หน่วยงานที่ควบคุมทราบถึงลักษณะ
และแผนการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะสร้างขึ้นอย่างละเอียด
รายงานที่นำเสนอจะต้องมีผลบังคับใช้
จึงอาจกล่าวได้ว่ารายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยเป็นสื่อกลางระหว่างหน่วยงานผลิตไฟฟ้า
และหน่วยงานควบคุมข้อมูล ในรายงานจะต้องมีข้อมูลเพียงพอสำหรับหน่วยงานควบคุม
หรือหน่วยงานอิสระอื่น ๆ
เพื่อสามารถพิจารณาได้ว่าการสร้างและการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตกระแสไฟฟ้ามีความปลอดภัย
และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สาระและรูปแบบการเสนอรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัย
ของโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีต่าง ๆ กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานผลิตไฟฟ้า
และบริษัทผู้สร้าง ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่
1)
การวิเคราะห์ลักษณะสถานที่ตั้ง โครงสร้าง อุปกรณ์ และระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านรังสี
2) การแสดงข้อมูล
และแจกแจงหลักเกณฑ์ หลักการ จุดมุ่งหมายในการออกแบบตลอดจนมาตรฐานที่ใช้
รวมทั้งวิธีการ และหนทางที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายของโครงการได้ในการปฏิบัติ
3) ทำการวิเคราะห์
และแสดงว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
และจะมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งในระหว่างการเดินเครื่องปกติและสภาวะอุบัติเหตุอย่างไร
4) แสดงคุณสมบัติ
และคุณลักษณะของพนักงานระดับต่าง ๆ ในโครงสร้างการบริหารงานทั้งหมด รวมทั้งแผนการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
6.4.2 การพิจารณาทบทวนและการประเมินรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัย
หน่วยงานผู้ขออนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเสนอมานั้นหน่วยงานรัฐผู้ควบคุมการหลายวิธีด้วยกัน
เพื่อให้แน่ใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องตามกฎข้อกำหนด ข้อบังคับต่าง ๆ
และเหมาะสมกับสถานที่ก่อสร้างนั้น ๆ
โดยเฉพาะข้อมูลที่รวบรวมโดยคำแนะนำจากหน่วยงานระหว่างประเทศทั้งในภาครัฐ
และภาคเอกชน ซึ่งมิได้แสดงไว้ในข้อปฏิบัติ แต่เหมาะสมกับสถานที่ก่อสร้าง
ถ้านำข้อมูลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตัวอย่างมาอ้างอิงในการประเมิน
ควรมีการระวังในข้อต่อไปนี้
1) หน่วยงานรัฐที่ควบคุมต้องมีความสามารถ
และต้องเข้าใจพื้นฐานการออกแบบ และลักษณะของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างตลอดไป
2) เนื่องจากสภาพที่ตั้งไม่เหมือนกัน
การนำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตัวอย่างมักจะเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในต่างประเทศ
จึงต้องพิจารณาผลกระทบเราสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้เหมาะสมกับสภาพจริง
3) เมื่อมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
และอุปกรณ์จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตัวอย่าง จะต้องกระทำอย่างรอบคอบด้วยเหตุผล
ข้อสังเกตในการพิจารณาที่ใช้กับประเทศต่าง ๆ
ผู้เสนออาจจะใช้การวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) จึงต้องระมัดระวังในการนำกฎข้อบังคับที่เหมาะสมสำหรับวิธีวิเคราะห์ในเชิงปริมาณ
(Quantitative Analysis) มาใช้
6.4.3 การตรวจสอบและการบังคับปฏิบัติ
วิธีที่ช่วยให้หน่วยงานควบคุมแน่ใจว่าหน่วยงานผู้ขออนุญาตสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและคำขออนุญาตทุกประการ
คือ การตรวจสอบ และบังคับปฏิบัติ ทั้งนี้หน่วยงานรัฐผู้ควบคุมจะต้องมีแผนการตรวจที่ละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สร้างตามแบบที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานควบคุมแล้ว
โครงสร้างส่วนประกอบและระบบต่าง ๆ ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีคุณภาพตามที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ก็เพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรสามารถเดินเครื่องได้อย่างปลอดภัย
การเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เป็นไปตามขอบเขต
และสภาวการณ์ซึ่งกำหนดไว้ในใบอนุญาต
หน่วยงานควบคุมจะเข้าตรวจสอบทุกขั้นตอนของโครงการโดยอาจจะแจ้งหรือไม่แจ้งให้ทราบก็ได้
การตรวจสอบนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานควบคุมและหน่วยงานผลิตไฟฟ้า
การดำเนินงานจึงจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปได้ว่าหน่วยงานควบคุมทำการตรวจสอบจุดประสงค์หลักเพื่อให้มั่นใจว่า
1)
บุคลากรที่รับผิดชอบในการคัดเลือกสถานที่ตั้ง การก่อสร้าง
การทดลองเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ครั้งแรก และการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
มีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญ
2) ส่วนประกอบโครงสร้างและระบบต่าง ๆ
ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีคุณภาพและประสิทธิภาพตามที่หน่วยงานกลุ่มกำหนดไว้
3) ได้ปฏิบัติตามข้อลักษณะจำเพาะ
กฎและข้อปฏิบัติที่หน่วยงานควบคุมกำหนดไว้หรือเห็นชอบด้วยแล้ว
4) ผู้ขออนุญาตจะต้องแก้ไขความบกพร่องโดยไม่ล่าช้า
5) สิ่งที่ปฏิบัติไปแล้วจะต้องแจ้งกลับไปยังหน่วยงานควบคุมทั้งหมด
ตามระดับความสำคัญ
การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในขั้นตอนการเดินเครื่องอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานผู้ผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยมีขั้นตอนในการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
1) การทดลองเดินเครื่องครั้งแรก
(Commissioning) ก่อนการบรรจุหลอดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์นั้น
ระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย จะต้องพร้อมและผ่านการตรวจสอบแล้ว
และได้ทดลองใช้งานแล้วว่าสามารถทำงานได้ตามที่ออกแบบ
รวมทั้งจะต้องมีแผนปฏิบัติสำหรับกรณีฉุกเฉินและอุบัติเหตุ
หลังจากการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แล้วจะยังคงต้องดำเนินการทดสอบอยู่ต่อไปในทุก
ๆ ระดับที่เพิ่มกำลังเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณสองปี
2) การเดินเครื่อง
ต้องเป็นไปตามขอบเขตและข้อกำหนดที่วางไว้เพื่อให้ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
มีขอบเขต และข้อกำหนดต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรจัดเตรียมไว้ตามตำแหน่งที่ใช้งาน
3) การบำรุงรักษา
ต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ (ก่อนที่จะบรรจุหลอดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์)
การซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในด้านความปลอดภัย
พร้อมทั้งทบทวนเสมอว่าการบำรุงรักษาดำเนินไปตามแผน และข้อกำหนดที่วางเอาไว้
4) การป้องกันอันตรายจากรังสี
จะต้องมีแผนและมาตรการป้องกันอันตรายจากรังสีที่อาจเกิดแก่พนักงานในโรงงานนิวเคลียร์
ผู้เกี่ยวข้อง และทำการตรวจสอบและติดตามอยู่เสมอว่าการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตกระแสไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
นอกจากนี้ยังต้องมีแผนและมาตราการเกี่ยวกับการจัดการกากกัมมันตรังสีทุกขั้นตอน
5) แผนสำหรับกรณีฉุกเฉิน
เป็นแผนที่วางไว้สำหรับกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและอาจมีกัมมันตรังสีเล็ดลอดออกจากบริเวณที่กำหนดไว้
ในกรณีนี้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่น
จะต้องรวมมือกันในแผนนี้
ประชาชนส่วนมากมักจะคิดว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดอุบัติเหตุอยู่เสมอ
หรือจะต้องเกิดอุบัติเหตุและนำภัยพิบัติมาสู่ประชาชน
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากต่อการชี้แจงความจริงให้กระจ่างทั่วถึงกัน
เพราะว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจเกิดอุบัติเหตุเช่นเดียวกับอุสาหกรรมอื่น ๆ
แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ออกแบบป้องกันอุบัติเหตุชนิดต่าง ๆ
ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้น รวมทั้งอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดไว้เป็นอย่างดี ดังนั้น
โอกาสที่เกิดอุบัติเหตุจึงมีน้อยมาก
หรือไม่น่าจะเกิดขึ้นได้สำหรับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้แบ่งออกเป็น 3 ประการ
คือ
ประการแรก เกิดขึ้นกับระบบปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ซึ่งที่จริงเป็นเพียงข้อขัดข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เคยทำความเสียหายแต่ประการใด
ประการที่ 2 เกิดขึ้นกับระบบกังหัน
และเครื่องกำเนินไฟฟ้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารรังสี แต่เป็นข้อขัดข้องและอุบัติเหตุ
ซึ่งบางครั้งทำความเสียหายกับอุปกรณ์ และทำให้ผู้ปฏิบัติงานบาดเจ็บเสียชีวิต
เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในโรงงานไฟฟ้าพพลังความร้อนที่ใช้น้ำมันถ่านหิน
หรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง
ประการที่ 3 เกิดขึ้นกับเครื่องทดลองหรือห้องทดลอง
และโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งไม่ใช่โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
ในบางครั้งผู้ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บถึงกับเสียชีวิตก็มี
และบางครั้งทำให้สารรังสีออกมาภายนอกโรงงาน
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่เคยมีประชาชนได้รับความเสียหายมากนัก
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้รับการออกแบบโดยยึดหลักความปลอดภัยมากที่สุด
ในการออกแบบระบบป้องกันอุบัติเหตุ และป้องกันภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีหลายระบบ
ดังนี้
6.7.1 ระบบสำรอง (Redundancy)
ทำหน้าที่ป้องกันอุบัติเหตี่อาจเกิดจากอุปกรณ์ขัดข้อง โดยการเผื่ออุปกรณ์สำรองไว้อีก
1 หรือ 2 ชุดเพื่อทำงานแทนเมื่อได้รับสัญญาณการขัดข้องของอุปกรณ์หลัก เช่น
ในวงจรของน้ำที่ใช้ระบบความปลอดภัยจะมีปั๊มน้ำซึ่งทำหน้าที่เหมือนกันหลายชุด
เตรียมไว้เพื่อทำหน้าที่แทนในกรณีที่ชุดแรกเกิดการขัดข้อง
ปั๊มน้ำเหล่านี้ใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากหลายแหล่ง ซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกัน
เพื่อป้องกันเหตุขัดข้องที่เกิดจากต้นเหตุเดียวกัน
6.7.2
ระบบทำหน้าที่ป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติงาน
เป็นระบบควบคูที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของความปลอดภัยจึงจะทำงานได้
เช่น การดึงแท่งควบคุมขึ้นจากแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อเดินเครื่อง
จะทำไม่ได้หารระบบระบายความร้อนไม่ทำงาน หรือระบบความปลอดภัยต่าง ๆ
ยังไม่พร้อมที่จะป้องกันอุบัติเหตุ
6.7.3
ระบบป้องกันอันตรายจากความผิดพลาด (Fail Safe)
ทำหน้าที่ป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดทั้งหมด
โดยมีหลักการว่าหากเกิดความผิดพลาดเนื่องจากเหตุใดก็ตาม
เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะต้องอยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยเสมอ เช่น
ในกรณีที่กระแสไฟฟ้าที่ใช้อยู่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดขาดหายไปเนื่องจากเหตุใดก็ตาม
แท่งควบคุมทั้งหมดจะเคลื่อนเข้าไปในแกนของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
เพื่อดับปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยฉับพลัน อัตโนมัติ
6.7.4 ระบบการป้องกันรังสีหลายชั้น
โดยที่รังสีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ดังนั้น
การออกแบบป้องกันอันตรายจากรังสีก็เพื่อไม่ให้รังสีผ่านออกมานอกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
การป้องกันรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เป็นอันดับแรก
โดยการทำเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
และเลือกวัสดุที่มีสมบัติดูดหรือสะท้อนรังสีที่เหมาะสมที่สุด ดังนี้
1) เม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
เป็นโลหะผสมยูเรเนียมไดออกไซด์ (UO2)
ซึ่งมีจุดหลอมตัวสูงถึง 2,800 องศาเซลเซียส
และทำให้อยู่ในรูปเซรามิก ซึ่งมีสมบัติที่ไม่แตกกระจาย
จึงสามารถเก็บกักสารรังสีที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ดีมาก
2) ทำเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
ทำด้วยโลหะผสมฌซอร์โคเมียม หรือเซอร์คัลลอย ซึ่งเป็นโลหะเหนียวหนาทนรังสี
และทนความร้อนได้ดี
ท่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์นี้ทำหน้าที่เก็บกักสารรังสีที่เป็นก๊าซ
และสารที่หลุดออกมาจากเม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
จากที่ผ่านมาสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลกพบว่าตลอดอายุการใช้งานของท่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เหล่านี้
คือประมาณ 30 ปี อาจมีรอยรั่วขนาดรูเข็มอยู่น้อยกว่าร้อยละ 0.5
ของท่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งหมด
การที่มีรอยรั่วนี้ทำใหสารรังสีเล็ดลอดออกมาผสมอยู่ในระบบน้ำของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพียงเล็กน้อย
3) มัดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
เป็นการรวมแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ไว้ด้วยกันด้วยสายรัดและปลอกนำแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์
ด้านหน้าจะมองเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรึงไว้อย่างปลอดภัย
ให้แท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งมัดวางอยู่ระหว่างแผ่นแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์บนและล่างเครื่องบังคับมัดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ให้เคลื่อนไหวได้คล่องอย่างปลอดภัย
4) ภาชนะทนความดันบรรจุแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์
และต่อกับท่อน้ำหลัก ภาชนะและท่อน้ำดังกล่าวเหล็กกล้า มีความหนาประมาณ 9 และ 4 นิ้ว ตามลำดับ
ในระหว่างเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
น้ำในระบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ส่วนหนึ่งจะถูกส่งผ่านระบบกำจัดกากรังสี
เพื่อให้สารรังสีในน้ำอยู่ในระดับต่ำตลอดเวลา
5) กำแพงคอนกรีตกั้นรังสี
ซึ่งมีความหนาตั้งแต่ 7 ถึง 10 ฟุต จะทำหน้าที่ป้องกันรังสีแกรมมาไม่ให้ผ่านออกมานอกเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
แต่การคำนวณกำแพงคอนกรีตหนาขนาดนี้สามารถดูดรังสีแกมมาได้ทั้งหมด
6) อาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหนาประมาณ 3 ฟุต
ภายในปูด้วยแผ่นเหล็กหนา 1 ส่วน 4 นิ้วโดยรอบ
ในขณะเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ทำให้ความกดดันภายในอาคารต่ำกว่าบรรยากาศภายนอกเล็กน้อยเพื่อว่าหากมีรอยรั่วเกิดขึ้นที่แผ่นเหล็กก็จะเป็นการรั่วจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร
7) เขตปลอดประชากรตามกฎเกณฑ์ขอความปลอดภัย
โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องมีอาณาเขตกว้างขวางเพียงพอ แบ่งเป็นเขตปลอดประชากร
หากเกิดมีรังสีรั่วออกจากอาคารในกรณีใด ๆ ก็ตาม ก็จะตกอยู่ภายในเขตนี้โดยไม่เป็นอันตรายต่อประชาชน
6.7.5 ระบบเตือนภัย
ประกอบด้วยเครื่องมือวัดรังสี
และเครื่องส่งสัญญาณเตือนภัย ซึ่งติดตั้งไว้ตามจุดสำคัญต่าง ๆ ภายในและภายนอกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
หากบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีรังสีสูงผิดปกติ ระบบเตือนภัยจะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันที
ครั้งที่บริเวณรังสีสูง และที่ห้องควบคุมการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
6.7.6 ระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน
ในบรรดาอุบัติเหตุต่าง ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อุบัติเหตุการเสียน้ำระบายความร้อน
เป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงที่สุดเพราะอาจทำให้เกิดการหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ได้
ซึ่งจะเป็นเหตุให้สารรังสีที่ถูกเก็บกักในเม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หลุดออกมา
ความร้อนที่ผลิตขึ้นในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ประมาณร้อยละ 93 เกิดจากปฏิกิริยาแตกตัวนั้น
สามารถดับได้ทันทีที่แท่งควบคุมเคลื่อนเข้าไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
แต่ยังมีความร้อนอีกประมาณร้อยละ 7 ที่เกิดจากการสลายตัวของสารรังสีซึ่งไม่สามารถหยุดได้ในทันที
ฉะนั้น
จึงต้องมีระบบระบายความร้อนจากแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ภายหลังหยุดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้ว
เพื่อป้องกันแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หลอมละลาย ระบบดังกล่าวมี 2 ระบบด้วยกัน คือ
ระบบปกติซึ่งใช้ทุกครั้งที่หยุดเครื่อง และระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน ซึ่งใช้ในกรณีเกิดอุบัติเหตุการสูญเสียน้ำในระบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
หน้าที่หลักของระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน
คือ
ส่งน้ำเข้าไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อระบายความร้อนในกรณีที่ท่อน้ำหนักแตก
ทำให้น้ำรั่วออกจากระบบไม่ว่ารอยแตกนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ระบบระบายความร้อนฉุกเฉินประกอบด้วยระบบย่อยหลายระบบทำงานอย่างอิสระโดยไม่ขึ้นต่อกัน
ในกรณีที่ระบบใดระบบหนึ่งเกิดขัดข้องก็ยังมีน้ำเพียงพอที่จะทำหน้าที่ระบายความร้อนต่อไปได้
แม้ว่ารายละเอียดในการออกแบบระบบต่าง ๆ ของระบบระบายความร้อนฉุกเฉินของแต่ละโรงไฟฟ้าจะแตกต่างกันออกไป
แต่ก็มีหลักการทำงานและการออกแบบคล้ายคลึงกัน
ระบบย่อยของระบบแรกเรียกว่าระบบฉีดน้ำจากถังเก็บ
ประกอบด้วยถังขนาดใหญ่หลายถังบรรจุน้ำบอแรต ภายใต้ความกดดันของก๊าซไนโตรเจนประมาณ 200 ถึง 650 ปอนด์/ตารางนิ้ว
ในกรณีที่ท่อน้ำหนักแตกขาดหลุดจากกัน หรือมีรอยแตกใหญ่
จะทำให้ความดันในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ลดลงอย่างฉับพลันจนกระทั่งต่ำกว่าความดันของก๊าซในถัง
น้ำบอแรต ก็จะหลุดพุ่งผ่านแผ่นโลหะกั้นเข้าไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทันที
ความแตกต่างของความดันนี้ เพื่อทำหน้าที่ระบายความร้อนและดับปฏิกิริยาแตกตัวลง ถึงแม้ว่าแท่งควบคุมเกิดขัดข้องในเวลาเดียวกันก็ตาม
การทำงานของระบบดังกล่าวนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติไม่ต้องอาศัยปั๊ม
หรือพลังงานจากแหล่งอื่นเลย
นอกจากนี้
มีระบบฉีดน้ำด้วยความดันต่ำ และระบบฉีดน้ำลดความดันสูง ในระบบระบายความร้อนฉุกเฉิน
ระบบฉีดน้ำด้วยความดันต่ำจะทำหน้าที่ระบายความร้อนในกรณีที่ความดันในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากท่อน้ำหลักแตกขาด
หลุดจากกัน หรือมีรอยแตกใหญ่ เป็นระบบสำรองจากระบบที่กล่าวมาข้างต้น
และเป็นระบบที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนต่อเนื่องไปหลังจากที่การทำงานของระบบฉีดน้ำจากถังเก็บได้สิ้นสุดลงจนกว่าเหตุการณ์เข้าสภาพปกติ
โดยอาศัยน้ำจากบ่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และแหล่งน้ำสำรองจากส่วนอื่น
ส่วนระบบฉีดน้ำด้วยความดันสูงจะทำหน้าที่ระบายความร้อนในกรณีที่มีรอยแตกขนาดเล็ก
และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยังคงมีความดันสูง ระบบทั้งสองนี้จะต้องอาศัยปั๊มซึ่งจะทำงานเมื่อได้รับสัญญาณความดันในระบบระบายความร้อนต่ำ
ระดับน้ำในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ลดลง
ปัจจุบันระบบระบายความร้อนฉุกเฉินเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศว่าให้ความปลอดภัยได้อย่างเพียงพอ
เมื่อพูดถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
คนอาจจะสับสนกับระเบิดนิวเคลียร์ แต่ในความจริงแล้วโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กับระเบิดนิวเคลียร์ไม่เหมือนกัน
ระเบิดนิวเคลียร์จะใช้เชื้อเพลิง ยูเรเนียม-235 ที่มีความเข้มข้นมากกว่า
90 เปอร์เซ็นต์ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จะใช้เชื้อเพลิง
ยูเรเนียม-235 ที่มีความเข้มข้น 0.7 ถึง
5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ทำให้ไม่สามารถเกิดระเบิดได้จากระเบิดนิวเคลียร์
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าโดยอาศัยปฏิกิริยาการแตกตัวหรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาฟิชชัน
ซึ่งเกิดจากนิวตรอนชนกับธาตุยูเรเนียม-235 ที่เป็นเชื้อเพลิง
ทำให้ธาตุยูเรเนียมแตกออกเป็น
ธาตุใหม่ 2 ธาตุ พร้อมทั้งปลดปล่อยความร้อน รังสี
และนิวตรอนออกมา
รูปที่
9 แสดงการปลดปล่อยความร้อน รังสี และนิวตรอนออกมา ที่เกิดจากการชนกันระหว่างนิวครอนและยูเรเนียม-235
ซึ่งนิวตรอนนี้จะไปชนกับธาตุยูเรเนียม-235 ตัวอื่น ๆ ได้อีก และความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยาฟิชชัน
จะถูกนำไปต้มน้ำให้เดือดเป็นไอน้ำ
และไอน้ำที่ได้จะไปขับเคลื่อนกังหันที่ต่ออยู่กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
และผลิตไฟฟ้าออกมา
บรรณานุกรม
สุวพันธ์ นิลายน.
(2554). โรงไฟฟ้านิวเคลียร์. พิมพ์ครั้งที่ 1. บริษัท วี. พริ้นท์. สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลักการทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์. (2561).
(ออนไลน์). จาก
7&page=t28-7-infodetail03.html. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 8
ธันวาคม 2561)
(วันที่สืบค้นข้อมูล : 8 ธันวาคม 2561)
ปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชัน. (2561).
(ออนไลน์). จาก
http://www.rmutphysics.com/physics/oldfront/102/1/nuclear1/
nuclear_19.htm. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 8 ธันวาคม 2561)
(วันที่สืบค้นข้อมูล : 8 ธันวาคม 2561)
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์. (2561).
(ออนไลน์). จาก
content&view=article&id=6:nuclear-power-plants&catid=5:general-
knowledge-about-renewable-energy. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 8 ธันวาคม 2561
หมายเหตุ : เรียบเรียงโดย นายธนากิจ ทองมนต์
จัดทำโดย นายธนากิจ ทองมนต์








